วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

AZBox Ultra HD user review (ภาค 1)

ได้ยินกิตติศัพท์มานานพอสมควร ว่าเครื่องรุ่นนี้มันดียังงั้น ดียังงี้ หายากด้วย แต่ในที่สุดก็ได้มาครอบครอง
จากที่คราวก่อนเคยใช้กล่อง DTV สีขาว ต่อกับจอ 32" แล้วภาพมันกากๆมากมาย
จึงได้เปลี่ยนมาเป็น Openbox S10 ซึ่งก็สนุกสนานกับมันอยู่พักนึง แต่ก็เริ่มเบื่อเพราะมันไม่มีอะไรให้เล่นเลย
ดูอย่างเดียวจริงๆ ก็เลยไปหา DM500s มาดูอีกครั้งนึง


ก็จึงได้ไปเสาะหา AZBOX Ultra HD มาอีกตัว เพื่อตอบสนองต่อกิเลสของความใคร่รู้อยากลอง

ก่อนจะทำรีวิวนี้ก็นึกอยู่ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี(วะ) เพราะมันมีอะไรเยอะแยะมากมายเหลือเกิน
ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องราคา 3 พันกว่าบาทจะทำได้ขนาดนี้
เอาเป็นว่ารีวิวคราวนี้อาจไม่เป็นระบบระเบียบเท่าใดนะ นึกอะไรได้ก็ใส่ก่อนเลยละกัน

แกะกล่อง
จ่ายไปสามพันต้นๆก็ได้ของมาเท่านี้
ตัวเครื่อง, AC Adaptor, สาย AC, Remote, สาย HDMI
แต่ไม่ได้คู่มือมาด้วย ไม่รู้ว่าคนขายลืมให้ หรือว่ามันไม่มีมาจากโรงงานก็ไม่อาจทราบได้




ขนาดตัวเครื่องเรียกได้กว้างใหญ่ใช้ได้เลยทีเดียว ขนาดราวๆ 10 นิ้ว x 10 นิ้ว
ถ้าเทียบกับ Openbox และ Dreambox ก็เทียบว่าสองเครื่องนี้จะกลายเป็น ลูกและหลาน ตามลำดับ กันเลยทีเดียว



หน้าปัด
ด้านหน้าเครื่องถ้ายังไปเปิดฝาปิดช่องเสียบการ์ด ก็จะพบเพียงปุ่ม Power เพียงปุ่มเดียว
หน้าปัดก็มีเพียง LED 2 ดวง ดวงนึงบอกสถานะ Power อีกดวงน่าจะบอกสถานะ LAN ดังนั้นเวลาใช้งานปกติ ไฟแดงจะติดทั้งสองดวง
ที่ขัดตาอย่างนึงของหน้าปัดก็คือ ตัว IR sensor นี่แหล่ะ มันเห็นได้เด่นชัดเจนน่าเกลียดมากเลยครับ
น่าจะหาฟิลเตอร์สีมาปิดไม่ให้มองเห็นตัว sensor ชัดขนาดนี้




เมื่อเปิดฝามาก็จะพบกับช่องเสียบการ์ด, ช่อง USB และปุ่มกดอีก 5 ปุ่ม
ช่องสำหรับล๊อคฝาหน้านั้นจะมองเข้าไปเห็นใส้พุงข้างในกันเลยทีเดียว ไม่มีการทำหลบซักนิด ประหยัดต้นทุนสุดๆ

ในเรื่องหน้าปัดของ AZBOX Ultra HD นี้ขอติฝ่ายออกแบบของโรงงานเป็นอย่างมาก ออกแบบหน้าตาได้เห่ยมาก
Openbox หน้ายังสวยกว่าอีก หรือแม้แต่ Dreambox ก็ยังคิดว่าดูดีกว่านะ



ผมไม่ขอเรียกเครื่องนี้ว่า Clone เพราะว่ามันไม่ได้มีความเหมือนกับต้นฉบับเค้าเลย ต้นฉบับเค้าหน้าตาสวยน่าคบหามาก
ยังไม่นับพวก Connection port ต่างๆนะ ของต้นฉบับเค้ามีครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนตัวนี้ตัดออกไปเกินกว่าครึ่ง
น่าจะเรียกเป็นว่า AZBOX ปลอมซะมากกว่า เพราะที่ใช้ร่วมกับของแท้ได้มีอยู่อย่างเดียวเลยก็คือใช้ซอฟท์แวร์ร่วมกันได้

รีโมท
รีโมทที่แถมมา ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องฝึกใช้ให้ชินกับมันซักนิด เพราะว่าสัญลักษณ์ที่ขึ้นบน GUI กับปุ่มบนรีโมทมันใช้สัญลักษณ์ต่างกัน
บนรีโมทเค้าจะใช้ Text เป็นหลักในการบอกฟังก์ชั่นของปุ่มต่างๆ เช่น สัญลักษณ์รูปบ้านบน GUI แต่ที่รีโมทจะเขียนว่า "HOME"
ในการใช้งานพบว่ารีโมทมีค่า Repeat rate ที่ไม่เหมาะสม พูดง่ายๆก็คือถ้ากดนานไปนิดนึงก็จะเหมือนกับการกดซ้ำๆลงไป 2-3 ครั้งเลยทีเดียว
กดเบาๆก็ไม่ติด พอกดแรงก็กลายเป็นเบิ้ลซะงั้น
ไม่รู้ว่าเป็นที่รีโมท หรือเป็นที่เฟิร์มแวร์ของเครื่องกันแน่ เอาไว้ดูกันอีกที


รูปรีโมทถ่ายคู่มากับของ Openbox (ด้านซ้ายเป็นรีโมทของ AZBOX)

ช่องต่อด้านหลังเครื่อง
มีสวิตช์ปิดเปิด สำหรับตัดไฟ DC 12V,24V ที่มาจาก AC Adaptor
มีช่องต่อ DC 12V,24V แบบรูเสียบกลมๆ ดังนั้นถ้า AC Adaptor พังนี่มีปัญหาแน่ เพราะไม่ได้ใช้ไฟเลี้ยงเดี่ยวเหมือนกล่องรุ่นอื่นๆ
มีช่อง USB จัดวางในแนวตั้ง 1 ช่อง
มีช่อง Optical S/PDIF
มีช่อง 12V Output
มีช่อง Analog Audio LR แต่ไม่มีช่อง Video นะ ไม่ว่าจะ Composite หรือ S-Video ก็ไม่มี
มีช่อง RJ45
มีช่อง HDMI (น่าจะแค่ 1.3)
มีช่องเสียบ LNB และ LOOP



เนื่องด้วยไม่มีช่อง Analog Video ดังนั้นท่านที่มี TV ที่ไม่มีช่อง HDMI หรือ DVI ท่านจะไม่สามารถใช้งานเครื่องรุ่นนี้ได้เลย

ถ้าเทียบกับต้นฉบับเค้าแล้ว เค้ามีทั้ง Composite, S-Video และ Component กันเลยทีเดียว
ถือว่าออกแบบได้ค่อนข้างพลาด เพราะหากใส่ Composite Video มาซักช่องเดียวแบบ Openbox S10 ก็ถือว่าจบแล้ว ขายดีกว่านี้แน่

ตัว AC Adaptor ก็ค่อนข้างใหญ่เทอะทะ แต่ว่าก็ดีอย่างคือไม่ร้อน แค่อุ่นๆ สาย AC ที่แถมมาเต้าเสียบเป็นแบบยุโรป ซึ่งจะมาขนาด Pin เล็กกว่ามาตรฐาน มอก. 166 ของบ้านเรา
อันอาจจะเกิดการหลวมคลอนได้หากนำไปเสียบกับเต้ารับที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่ถ้าเต้ารับมาตรฐานก็ไม่มีปัญหา

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอเป็นสาวก AZ BOX ด้วยคนครับ
    ช่วยแนะนำด้วยนะครับ

    ตอบลบ