แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ China แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ China แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

AZBox Ultra HD user review (ภาค 3)

การใช้งาน



เสียบปลั๊ก เปิดสวิตช์ รอภาพมา ใช้เวลาประมาณ 50 วินาทีภาพถึงจะมา โดยที่หน้าปัดก็มีเพียงแค่ไฟแดงๆ 2 ดวง
ติดๆดับๆไปมา พอภาพมาแล้วก็ติดค้างทั้งสองดวง
ถือว่าใช้เวลาในการบูตนานพอสมควร และไม่มีภาพใดๆปรากฏบนหน้าจอเสียด้วย จนทำให้คิดว่าเครื่องมันใช้ได้หรือเปล่าหว่า?
ถ้าเทียบกับ Openbox S10 ในระหว่างการบูตเค้าก็จะมีไฟ LED 7-Segments ที่หน้าปัดเป็นตัวบอก และมีภาพปรากฏที่ทีวีด้วย และ Openbox ก็ใช้เวลาในการบูตเร็วกว่า(นิดหน่อย)

ครั้งแรกที่เปิดขึ้นมาก็เป็น SCRAMBLED อยู่เพราะว่ายังไม่ได้เสียบการ์ด


การที่จะแสดงเมนูก็กดปุ่ม HOME หรือปุ่้ม Exit ก็ได้ มันก็จะแสดงเมนูขึ้นมา
แต่ก็ต้องระมัดระวังกับการกดปุ่มที่รีโมทหน่อย เพราะปุ่มมันรีพีทไวเหลือเกิน กดทีนึงเหมือนกับกด 2-3 ทีเลยทีเดียว แว้บๆ

เอาล่ะหาการ์ดมาเสียบกันดีกว่า คว่าหน้าคอนแทคลงนะ เสียบการ์ดไว้ประมาณสักครู่ภาพก็มา


SD
คุณภาพของภาพที่ได้รับถือว่าคุ้มค่าตัว เพราะภาพที่ได้จากช่อง SD นี่คมชัด สีสันดีมาก รายละเอียดของภาพในที่มืดก็ดี
ภาพมีมิติตื้นลึก
แทบไม่ปรากฏ Block noise ให้เห็นเลยแม้ว่าจะดูช่องฟรีทีวีกากๆที่ทรูบีบอัดมาซะแทบปลิ้น
เทียบกับ Openbox S10 นี่ระดับหน้ามือกับหลังเท้ากันเลยทีเดียว
เทียบกับ Dreambox ก็ระดับหน้ามือกับหลังมือ คือว่าเห็นความชัดที่แตกต่างล่ะครับ




HD
ภาพที่ได้จากช่อง HD นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมมันมีมิติอย่างนี้ เมื่อก่อนก็ว่าภาพ HD จาก Openbox S10 ใช้ได้แล้วนะ
แต่เจอตัวนี้เข้าไปคนละเรื่องกันเลย
ภาพจาก S10 มันจะแบนๆไม่มีมิติ ส่วนจากเจ้าตัวนี้มันมีชัดลึก ชัดตื้น
รายละเอียดของภาพก็ดี ให้รายละเอียดภาพในที่มืดดี





เคยดูภาพจากเครื่องเล่น EGREAT R200 ยังสู้ภาพที่ได้จากเครื่องนี้ไม่ได้เลย

เสียดายมากที่กล้องไม่สามารถถ่ายทอดภาพออกมาได้เหมือนกับที่ตาเห็น
ต้องลองดูด้วยตัวเองครับ แล้วจะรู้ว่ามันต่างกันจริงๆ


การเปลี่ยนช่อง
การเปลี่ยนช่องทำได้ค่อนข้างช้าไปนิด ใช้เวลาประมาณ 4 วินาทีกว่าภาพจะมา เทียบกับ Openbox, Dreambox ไม่ได้เลย
พวกนั้นใช้เวลาไม่เกิน 3 วินาทีภาพก็มาแล้ว
การแสดงรายการช่องเป็นแบบ 2 คอลัมน์ ก็คล้ายๆกับ Openbox ที่มี 3 คอลัมน์ แต่ยังสู้ Dreambox ไม่ได้
เพราะ Dreambox มีแสดงรายการย่อๆให้ด้วย แต่ AZBOX ไม่แสดงรายการย่อ แสดงเฉพาะชื่อช่อง


ไม่แน่ถ้า Upgrade firmware อาจจะดีกว่านี้ก็ได้ แต่ยังไม่กล้าเพราะว่ายังมือใหม่อยู่ รอสักพักละกัน
ตอนนี้ใช้ Official Firmware ไปก่อน


ตอนต่อไปจะมาดูฟังก์ชั่นอื่นๆของเครื่องนี้กัน ว่ามันทำอะไรได้บ้างนอกจากดูรายการ TV ผ่านดาวเทียม

AZBox Ultra HD user review (ภาค 2)

แต่เดี๋ยวก่อน
ก่อนที่จะลองเสียบปลั๊กใช้งาน รู้สึกทะแม่งๆชอบกล
ขอลองส่องๆดูใส้พุงก่อนละกัน

Heat Sink หลุด
อ้าว เฮ้ย ทำไม Main Chip ไม่ติด Heat Sink ล่ะเนี่ย แล้วมันหายไปไหนล่ะเจ้า Heat Sink
โห ไปแอบอยู่หน้าเครื่องโน่น
สงสัยมันตกใจระหว่างการขนส่ง เลยโดดหนี Main Chip ไปซะงั้น
ไม่ได้การแล้ว ต้องเปิดฝาเครื่องแล้ว ดีนะที่ไม่ใช้ไปก่อน ไม่งั้นมีหวังพังแหงๆ



CPU
ตัว Main Chip เป็น SMP8635LF ที่เขาว่ากันว่าภาพสวยหนักหนา มีใช้ในเครื่อง Hi-Def Player รุ่นแพงๆ
จะจริงไม่จริงต้องลองดูกันต่อไป
รู้แล้วทำไม Heat Sink หลุดกระเด็นกระดอนไปได้ เพราะพี่แกใช้กาวสองหน้าชนิดบางติดไว้นั่นเอง คงจะติดไม่ดีเลยหลุดง่าย
สงสัยอยู่อย่างนึงแล้วมันจะนำพาความร้อนได้ดีซักแค่ไหนกัน(วะ)เนี่ย
เลยจัดการเอาแผ่นซิลิโคนสำหรับ CPU ของ Notebook แปะไปแทน ซึ่งคิดว่าน่าจะดีกว่ากาวสองหน้าล่ะ



ไหนๆก็เปิดดูใส้พุงกันแล้ว ขอดูอุปกรณ์รอบข้างไปหน่อยละกัน

Audio DAC
งานประกอบแผงวงจรถือว่าใช้ได้ทีเดียว การจัดวางดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี
การคัดเลือกอุปกรณ์ก็ถือว่าพิถีพิถันในระดับนึง
ดูได้จาก Audio DAC ที่เลือกใช้ Chip WM8521 ของ Wolfson ซึ่งกำลังมาแรง มีชื่อเสียง เพราะเป็น Chip ที่ถูกใช้ในเครื่องเล่น iPod, iPhone
ซึ่งถ้าท่านเคยฟังเสียงจากเครื่องพวกนั้นก็คงรู้ว่าคุณภาพเสียงมันไม่ธรรมดาเลย



USB 2.0 4 port controller
มาสะดุดตาที่ Chip VIA ตัวใหญ่ๆ ลองสอบถามอากู๋ดูก็พบว่ามันเป็น IC USB interface แบบ 4 ช่อง
นั่นหมายความว่าถ้าทำการ Modify เพิ่มช่อง USB จากเดิม 2 ช่องเป็น 4 ช่อง ก็จะมี USB ใช้ได้อย่างเหลือเฟือเลยทีเดียว แต่ก็ไม่รู้ว่า Firmware ที่เค้าเขียนมามันรองรับหรือเปล่านะ



Missing Components
ใน Main PWB นี้ พบว่าอุปกรณ์หลักๆได้หายไปสองส่วนก็คือ
- SATA Controller
- TV Encoder

โดย SATA Controller นี้หากนำ Chip มาใส่พร้อม X-TAL 1 ตัว ใส่ขั้ว SATA เข้าไป ก็คงใช้งานได้เลย
เนื่องจากมองรอบๆแล้ว อุปกรณ์ประกอบพวก RC เค้า mount มาให้เรียบร้อยแล้ว สำหรับเบอร์ของ Chip พอจะได้เค้าเลาๆแล้ว
เดี๋ยวถ้าหมดประกันแล้วยังไม่พัง เจอกัน



ส่วน TV Encoder ตำแหน่ง U16 นั้น ยังหาข้อมูลไม่พบว่ามันควรจะเป็น IC อะไร แต่ที่แน่ๆคือไม่ใช่ Video Amp แน่นอน
เนื่องจากสัญญาณขาเข้าจำนวน 6 ขานั้นเป็นสัญญาณ Digital ล้วนๆ ไม่ใช่ Analog
สัญญาณขาออกที่เขา mount R75ohm มาแล้วนั้นเป็นสัญญาณ Y กับ C
ดังนั้นหากรู้เบอร์ IC ก็น่าจะนำมาใช้ได้เลย ดีไม่ดีอาจได้ Composite, Component แถมมาด้วย


-

AZBox Ultra HD user review (ภาค 1)

ได้ยินกิตติศัพท์มานานพอสมควร ว่าเครื่องรุ่นนี้มันดียังงั้น ดียังงี้ หายากด้วย แต่ในที่สุดก็ได้มาครอบครอง
จากที่คราวก่อนเคยใช้กล่อง DTV สีขาว ต่อกับจอ 32" แล้วภาพมันกากๆมากมาย
จึงได้เปลี่ยนมาเป็น Openbox S10 ซึ่งก็สนุกสนานกับมันอยู่พักนึง แต่ก็เริ่มเบื่อเพราะมันไม่มีอะไรให้เล่นเลย
ดูอย่างเดียวจริงๆ ก็เลยไปหา DM500s มาดูอีกครั้งนึง


ก็จึงได้ไปเสาะหา AZBOX Ultra HD มาอีกตัว เพื่อตอบสนองต่อกิเลสของความใคร่รู้อยากลอง

ก่อนจะทำรีวิวนี้ก็นึกอยู่ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี(วะ) เพราะมันมีอะไรเยอะแยะมากมายเหลือเกิน
ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องราคา 3 พันกว่าบาทจะทำได้ขนาดนี้
เอาเป็นว่ารีวิวคราวนี้อาจไม่เป็นระบบระเบียบเท่าใดนะ นึกอะไรได้ก็ใส่ก่อนเลยละกัน

แกะกล่อง
จ่ายไปสามพันต้นๆก็ได้ของมาเท่านี้
ตัวเครื่อง, AC Adaptor, สาย AC, Remote, สาย HDMI
แต่ไม่ได้คู่มือมาด้วย ไม่รู้ว่าคนขายลืมให้ หรือว่ามันไม่มีมาจากโรงงานก็ไม่อาจทราบได้




ขนาดตัวเครื่องเรียกได้กว้างใหญ่ใช้ได้เลยทีเดียว ขนาดราวๆ 10 นิ้ว x 10 นิ้ว
ถ้าเทียบกับ Openbox และ Dreambox ก็เทียบว่าสองเครื่องนี้จะกลายเป็น ลูกและหลาน ตามลำดับ กันเลยทีเดียว



หน้าปัด
ด้านหน้าเครื่องถ้ายังไปเปิดฝาปิดช่องเสียบการ์ด ก็จะพบเพียงปุ่ม Power เพียงปุ่มเดียว
หน้าปัดก็มีเพียง LED 2 ดวง ดวงนึงบอกสถานะ Power อีกดวงน่าจะบอกสถานะ LAN ดังนั้นเวลาใช้งานปกติ ไฟแดงจะติดทั้งสองดวง
ที่ขัดตาอย่างนึงของหน้าปัดก็คือ ตัว IR sensor นี่แหล่ะ มันเห็นได้เด่นชัดเจนน่าเกลียดมากเลยครับ
น่าจะหาฟิลเตอร์สีมาปิดไม่ให้มองเห็นตัว sensor ชัดขนาดนี้




เมื่อเปิดฝามาก็จะพบกับช่องเสียบการ์ด, ช่อง USB และปุ่มกดอีก 5 ปุ่ม
ช่องสำหรับล๊อคฝาหน้านั้นจะมองเข้าไปเห็นใส้พุงข้างในกันเลยทีเดียว ไม่มีการทำหลบซักนิด ประหยัดต้นทุนสุดๆ

ในเรื่องหน้าปัดของ AZBOX Ultra HD นี้ขอติฝ่ายออกแบบของโรงงานเป็นอย่างมาก ออกแบบหน้าตาได้เห่ยมาก
Openbox หน้ายังสวยกว่าอีก หรือแม้แต่ Dreambox ก็ยังคิดว่าดูดีกว่านะ



ผมไม่ขอเรียกเครื่องนี้ว่า Clone เพราะว่ามันไม่ได้มีความเหมือนกับต้นฉบับเค้าเลย ต้นฉบับเค้าหน้าตาสวยน่าคบหามาก
ยังไม่นับพวก Connection port ต่างๆนะ ของต้นฉบับเค้ามีครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนตัวนี้ตัดออกไปเกินกว่าครึ่ง
น่าจะเรียกเป็นว่า AZBOX ปลอมซะมากกว่า เพราะที่ใช้ร่วมกับของแท้ได้มีอยู่อย่างเดียวเลยก็คือใช้ซอฟท์แวร์ร่วมกันได้

รีโมท
รีโมทที่แถมมา ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องฝึกใช้ให้ชินกับมันซักนิด เพราะว่าสัญลักษณ์ที่ขึ้นบน GUI กับปุ่มบนรีโมทมันใช้สัญลักษณ์ต่างกัน
บนรีโมทเค้าจะใช้ Text เป็นหลักในการบอกฟังก์ชั่นของปุ่มต่างๆ เช่น สัญลักษณ์รูปบ้านบน GUI แต่ที่รีโมทจะเขียนว่า "HOME"
ในการใช้งานพบว่ารีโมทมีค่า Repeat rate ที่ไม่เหมาะสม พูดง่ายๆก็คือถ้ากดนานไปนิดนึงก็จะเหมือนกับการกดซ้ำๆลงไป 2-3 ครั้งเลยทีเดียว
กดเบาๆก็ไม่ติด พอกดแรงก็กลายเป็นเบิ้ลซะงั้น
ไม่รู้ว่าเป็นที่รีโมท หรือเป็นที่เฟิร์มแวร์ของเครื่องกันแน่ เอาไว้ดูกันอีกที


รูปรีโมทถ่ายคู่มากับของ Openbox (ด้านซ้ายเป็นรีโมทของ AZBOX)

ช่องต่อด้านหลังเครื่อง
มีสวิตช์ปิดเปิด สำหรับตัดไฟ DC 12V,24V ที่มาจาก AC Adaptor
มีช่องต่อ DC 12V,24V แบบรูเสียบกลมๆ ดังนั้นถ้า AC Adaptor พังนี่มีปัญหาแน่ เพราะไม่ได้ใช้ไฟเลี้ยงเดี่ยวเหมือนกล่องรุ่นอื่นๆ
มีช่อง USB จัดวางในแนวตั้ง 1 ช่อง
มีช่อง Optical S/PDIF
มีช่อง 12V Output
มีช่อง Analog Audio LR แต่ไม่มีช่อง Video นะ ไม่ว่าจะ Composite หรือ S-Video ก็ไม่มี
มีช่อง RJ45
มีช่อง HDMI (น่าจะแค่ 1.3)
มีช่องเสียบ LNB และ LOOP



เนื่องด้วยไม่มีช่อง Analog Video ดังนั้นท่านที่มี TV ที่ไม่มีช่อง HDMI หรือ DVI ท่านจะไม่สามารถใช้งานเครื่องรุ่นนี้ได้เลย

ถ้าเทียบกับต้นฉบับเค้าแล้ว เค้ามีทั้ง Composite, S-Video และ Component กันเลยทีเดียว
ถือว่าออกแบบได้ค่อนข้างพลาด เพราะหากใส่ Composite Video มาซักช่องเดียวแบบ Openbox S10 ก็ถือว่าจบแล้ว ขายดีกว่านี้แน่

ตัว AC Adaptor ก็ค่อนข้างใหญ่เทอะทะ แต่ว่าก็ดีอย่างคือไม่ร้อน แค่อุ่นๆ สาย AC ที่แถมมาเต้าเสียบเป็นแบบยุโรป ซึ่งจะมาขนาด Pin เล็กกว่ามาตรฐาน มอก. 166 ของบ้านเรา
อันอาจจะเกิดการหลวมคลอนได้หากนำไปเสียบกับเต้ารับที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่ถ้าเต้ารับมาตรฐานก็ไม่มีปัญหา